Starlight (Translated)

Jul 11, 2015 20:06


Original Author: tysunkete https://www.fanfiction.net/u/822962/tysunkete

Translator: Keechan/Mondblomma

Fandom: Daiya no A (Ace of Diamond)

Pairing: Furuya Satoru x Miyuki Kazuya

ที่สุดแล้ว มิยูกิก็รู้ว่าเขาคงโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง ที่จริงแล้วมันควรจะเป็นแค่เรื่องหยอกสนุกๆ นิดหน่อย เหมือนกับที่เขาชอบล้อคนอื่นเล่น แต่ตอนนี้ฟุรุยะจ้องเขาเขม็ง เบิกตากว้างพร้อมความรู้สึกผสมปนเประหว่างความประหม่าและความตั้งใจจริง เป็นสีหน้าแบบที่พิชเชอร์หน้าตาเฉยเมยปีหนึ่งคนนี้ไม่เคยแสดงให้เขาเห็น มิยูกิไม่ได้โง่ เขารู้ว่าไอ้แก้มแดงๆ ที่ผุดขึ้นมาพร้อมกับบรรยากาศกดดันแบบนี้จะมีอะไรตามมา มิยูกิอยากจะพูดอะไรซักอย่าง เขาควรพูดอะไรซักอย่างออกไป แต่เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

"รุ่นพี่มิยูกิ..." ฝ่ายรุ่นน้องว่า และมิยูกิก็สังเกตเห็นมือของอีกฝ่ายสั่นน้อยๆ ก่อนจะกำหมัดแน่น "ผมชอบรุ่นพี่ครับ"


ประโยคนั้นแผ่วเบาตามสไตล์ของฟุรุยะ แต่มันดังก้องกังวานชัดเจนเมื่อมีพวกเขาอยู่กันในห้องแค่สองคน มิยูกิปล่อยให้ความเงียบผ่านไปพักหนึ่งขณะที่มองพิชเชอร์คนนี้จ้องตาเขากลับอย่างไม่หวั่นไหว เขาต้องยอมชมเจ้าเด็กปีหนึ่งนี่ซักหน่อยล่ะ มาสารภาพรักกับเขาเนี่ยนะ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ก็มิยูกิน่ะนิสัยแย่จนทำตัวอะไรทำนองนี้ได้น่ะสิ

"เอ๋?" เขาเลิกคิ้วกวนๆ แสร้งทำเป็นตกใจ "ขอบใจนะ ฉันก็ชอบฉันเหมือนกัน" เขายิ้มยียวน ทำท่าทีผ่อนคลายสบายๆ ใส่ฟุรุยะ "ถ้าอยากจะให้ฉันชมมากกว่านี้ล่ะก็ไม่ต้องหวังเลย" มิยูกิว่า และเพราะเขาเป็นไอ้งี่เง่าที่รู้แต่ว่าจะขุดหลุมฝังตัวเองยังไงให้ลึกยิ่งขึ้น เขายังหยอดต่อ "แต่ว่า วันนี้นายก็ขว้างลูกได้ดีนะ คอนโทรลลูกได้ดีขึ้นแล้วนี่"

เห็นได้ชัดว่าฟุรุยะตื่นเต้นดีใจกับคำชมทั่วๆ ไปอย่างนั้น มุมริมฝีปากของเจ้าตัวยกขึ้นนิดๆ แต่แล้วก็กลอกตามอง ถอนใจเบาๆ ด้วยความหงุดหงิด

"ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ผม--" เขาพึมพำ แล้วมิยูกิก็ลอบถอนใจโล่งอกอยู่คนเดียว ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวอีกฝ่ายอย่างเผลอไผล

"แต่เรื่องความอึดยังห่วยอยู่นะ นี่นายทำตามเมนูที่รุ่นพี่คริสบอกให้ทำรึเปล่า อย่าให้ฉันจับได้ว่านายไปแอบหลับที่ร่มๆ อีกล่ะ ไม่งั้น--"

"รุ่นพี่มิยูกิ" ฟุรุยะแทรกขึ้น เสียงดังกว่าเดิม

แววตาของเจ้าตัวส่องประกายแน่วแน่ เคลื่อนมาข้างหน้าราวกับมีแรงดึงดูด เอาเข้าจริงแล้วมิยูกิรู้สึกผิดคาดที่อีกฝ่ายไม่ยอมลดละ มือของเขาวานิ่งอยู่บนหัวของอีกฝ่าย

"ผม..." ฟุรุยะพรูลมหายใจ ประกาศแน่วแน่ "ผมหลงรักรุ่นพี่ครับ"

ไม่มีช่องว่างให้ตีความเป็นอื่น ไม่มีทางจะเฉไฉด้วยคำล้อเลียนได้อย่างเก่า มิยูกิกลืนน้ำลาย สิ่งเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวคือ ซวยล่ะ เราทำบ้าอะไรลงไปวะเนี่ย

---------------------------------------------

ความประทับใจแรกที่มิยูกิมีต่อฟุรุยะคือความซื่อตรง ไม่ได้นับว่าเป็นข้อดีหรือว่าข้อเสีย พิชเชอร์ตัวดีคนนั้นแทรกตัวเข้ามาระหว่างซาวามุระกับเขาตอนนั่งกินข้าวเย็นแล้วจู่ๆ ก็ถามว่าจะช่วยรับลูกให้ได้มั้ย มิยูกิไม่ได้อยากจะอวดตัวแต่เขามีคนมาพูดด้วยอย่างนั้นเป็นพักๆ เขาเป็นแคชเชอร์ที่มีบทบาทสะดุดตาบนสนามเบสบอล แถมนิตยสารฉบับนั้นก็เขียนถึงตอนที่เขาเป็นตัวจริงของเซย์โดได้ตั้งแต่อยู่ปีหนึ่ง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดเท่าไหร่ที่จะมีพิชเชอร์มาขอให้เขารับลูกให้ แต่ว่าคนอื่นไม่ได้มีวิธีพูดแบบนั้น ฟุรุยะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ตรงไปตรงมาและเฉยเมยมากจนมิยูกิมองไม่ออกว่าเจ้าตัวไม่แคร์คนอื่น หรือว่าหยิ่งกันแน่ ถึงได้พูดว่าจะไม่ยอมให้ใครตีลูกที่ตัวเองขว้างได้กลางโรงอาหาร ทำเอารุ่นพี่ส่วนใหญ่โมโหจนแทบจะลุกมารุมกระทืบ ชั่วขณะนึงฟุรุยะกระพริบตาเหมือนแปลกใจ เหมือนไม่รู้ว่าคำพูดตัวเองทำให้เป็นอย่างนั้น-- โอเค มิยูกิจะคิดว่าหมอนั่นไม่แคร์ก็แล้วกัน

คิดแล้วแบบนั้นก็น่ารักนิดๆ เลยทำให้ฟังดูคำขอนั้นดูซื่อๆ ขึ้นมาอีกเป็นกอง แต่มิยูกิไม่ได้ตอบตกลงหรือปฏิเสธ ก็แค่จำไว้ในหัว เจ้าเด็กปีหนึ่งนั่นอาจจะคุยโวเหมือนกับคนอื่นๆ แต่พอดันไม่มีใครตีลูกขึ้นมาได้จริงๆ-- ก็ยอมรับหรอกนะว่าประทับใจพอดู หลังจากนั้นก็เป็นความอยากรู้อยากเห็นของเขาเองที่ยอมทำตามคำขอของฟุรุยะแล้วตามหมอนั่นไปลองรับลูกดู

บอลที่ขว้างมาเร็วแล้วก็หนักหน่วงกว่าที่คาด แน่ล่ะว่าเขารับได้ แต่เป็นสีหน้าของฟุรุยะต่างหากที่ทำให้เขาสนใจ-- แววตาที่เบิกกว้างอย่างตกตะลึงแฝงไปด้วยความรู้สึกอัดแน่น ราวกับว่ามิยูกิเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เคยพบเจอในชีวิตนี้ มิยูกิเดาว่าถ้าฟุรุยะเป็นพวกแสดงความรู้สึกออกมาง่ายๆ มากกว่านี้ หมอนั่นอาจจะร้องไห้โฮออกมาแล้วก็เป็นได้

เอาล่ะ นั่นไม่ใช่อะไรที่จะมีให้เห็นอยู่ทุกวัน เจ้าเด็กนี่อยากให้เขารับลูกให้มากขนาดไหนกันนะ มิยูกินึกสงสัย และเขาก็ใจอ่อนให้นิดหน่อย เขาจะยอมตามใจมากขึ้นอีกนิดนึงก็ได้ หลังจากนั้นเขาก็ปล่อยให้ฟุรุยะขว้างลูกต่ออีกหนึ่งชั่วโมง

"รุ่นพี่มิยูกิ ขออีกลูกครับ" ฟุรุยะรั้ง เมื่อเห็นเขายืนขึ้น แม้ว่าเจ้าตัวจะทั้งหอบทั้งเหงื่อเต็มตัว ความอึดไม่มีเอาซะเลย มิยูกิส่ายหัวใส่ "ขออีกลูกเถอะครับ"

"ดึกแล้ว แถมพรุ่งนี้ต้องซ้อมแต่เช้านะ" มิยูกิเตือน

"ขออีกครับ" อีกฝ่ายพูดซ้ำ คราวนี้ก้มหัวให้ด้วย "นะครับ"

"มือนายสั่นแล้ว" มิยูกิว่า "ไปพักน่า ไม่ใช่ว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะรับลูกให้เสียหน่อย"

ฟุรุยะนิ่ง ตามมาด้วยความเงียบพักใหญ่ มิยูกิเกือบจะถามแล้วว่าได้ยินที่พูดรึเปล่า แต่ฝ่ายนั้นก็ผงกหัวเบาๆ ก่อนเขาจะเอ่ยปาก เชื่อฟังดี อืม มิยูกิฉีกยิ้ม ก็ดีเหมือนกันนะที่มีรุ่นน้องให้ความเคารพ

"แล้วก็นะ" เขาว่าต่อ โยนลูกเล่นแล้วเดินเข้ามาใกล้ "นายคอนโทรลลูกได้ห่วยสุดๆ ถ้าอยากให้ฉันรับลูกให้มากกว่านี้ก็ต้องฝึกล่ะ"

ฝ่ายตรงข้ามเงยหน้าขึ้น ดูแปลกใจนิดหน่อย มิยูกิเกือบจะยิ้มเยาะเมื่อเห็นความหวั่นไหวเล็กๆ ในแววตา

"กำลังกายของนายด้วย ความอึดโคตรแย่" เขาถอนหายใจหนักๆ จงใจล้อเลียน "นายไม่ควรจะหายใจหนักๆ ขนาดนี้"

"ผม..."

"แต่" เขายืนหยุดอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายพอดีแล้วตบหัวเบาๆ ด้วยถุงมือ "เป็นการขว้างลูกที่มีพลังดี นายจะเป็นกำลังสำคัญของทีมได้"

มิยูกิรู้ว่าฟุรุยะเป็นคนเงียบๆ แต่ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะพูดน้อย แล้วมีปฏิกิริยาน้อยกว่าใครบางคนที่เขารู้จัก ฟุรุยะก็แสดงท่าทีฟึดฟัด-- จริงๆ แล้วก็ดูออกง่ายว่าอีกฝ่ายรู้สึกยังไง คล้ายๆ กับมีออร่า ถึงจะฟังดูพิลึกก็เถอะ ตอนนี้อากาศรอบตัวฟุรุยะรู้สึกอุ่นๆ อบอุ่นเพราะความดีอกดีใจ มิยูกิรับรู้ได้แจ่มชัดว่าฟุรุยะยิ่งกว่าดีใจที่ได้ฟังความเห็นของเขา

จะดีใจอะไรง่ายๆ ขนาดนั้นเชียว เจ้าเด็กปีหนึ่งประหลาดนี่ มิยูกินึกพลางส่ายหัวในใจ

ที่จริงแล้วตอนนี้น่าจะเป็นจุดที่มิยูกิควรบอกตัวเองว่าต่อไปจะต้องแย่ แย่มากแน่ๆ

บางครั้งมีบางอย่างที่มิยูกิรู้ ไม่ก็เดาเอาได้จากการสำรวจฟุรุยะ ไม่ใช่ว่าเขาทำแบบนี้มากกว่าที่ทำกับคนอื่นหรอกนะ-- เขาก็มักจะสำรวจคนอื่นเพื่อจะได้เข้าใจอีกฝ่ายอย่างละเอียด เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาทำเหมือนกับตอนที่เป็นแคชเชอร์ในสนามอยู่แล้ว ช่วงฝึกซ้อม ฟุรุยะไม่ค่อยคุยกับใครเท่าไหร่ มีแค่คนที่เข้ามาคุยด้วยเพราะต้องซ้อมด้วยกัน มิยูกิไม่เคยเห็นฟุรุยะไปร่วมวงพูดคุยอะไรกับใคร มักจะยืนอยู่คนเดียวนอกวงที่คนอื่นๆ อยู่กัน จะว่าไปแล้ว เขาก็ไม่เคยเห็นฟุรุยะยิ้มหรือหัวเราะด้วย

ฟุรุยะน่าจะไม่มีใครที่เรียกได้ว่าเป็นเพื่อน ฟังดูน่าหดหู่น่าดู มิยูกิไม่คิดว่าฟุรุยะเป็นพวกไม่ชอบเข้าสังคม อาจจะแค่รู้สึกประหลาดๆ แล้วอาจจะพูดตรงๆ เกินไป บทจะเงียบก็เงียบจนคนอื่นทำตัวไม่ถูก

มิยูกิสังเกตเรื่องนี้อีกครั้งตอนที่ฟุรุยะยืนอยู่นอกวงที่ทุกคนกำลังรุมหยอกซาวามุระ เขาเห็นสายตาที่นึกอยากเข้าไปอยู่ในวงล้อมนั้น ถึงจะแค่แว่บเดียว แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหมอนี่รู้สึกเหงานิดหน่อยที่ตัวเองเป็นคนเงียบๆ แบบนี้-- ใช่ว่ามิยูกิจะเห็นอกเห็นใจได้เต็มที่ แต่เขาก็พอเข้าใจ เพราะไม่ว่าเขาจะเสแสร้งทำตัวร่าเริงหรือเอาใจคนอื่นมาเท่าไหร่ เสแสร้งก็คือเสแสร้งอยู่ดี เขาเสแสร้งมาตลอด เว้นระยะห่างกับคนอื่นคือสิ่งที่เขาทำมาตลอดเหมือนกัน

อาจจะเพราะอย่างนั้นก็ได้ เขาถึงได้เป็นฝ่ายเข้าหาฟุรุยะ

"เข้าไปในวงนั้นไม่ได้ล่ะสิ?" เขาพูดขึ้นด้วยบรรยากาศสบายๆ ว่าเข้าไปนั่น-- ตัวเขาเองก็อยู่นอกวงเหมือนกัน แต่เขาคิดเข้าข้างตัวเองว่าครึ่งนึงมันเป็นสิ่งที่เขาเลือกเอง "ก็นะ ซาวามุระมักจะโดนคนอื่นห้อมล้อมส่วนนายก็แยกตัวไปจัดการเรื่องของตัวเอง นายสองคนน่ะต่างกันนี่นา"

ฟุรุยะไม่ได้หันมามอง และมิยูกิรู้ว่าเขาพูดแทงใจดำ

"แต่ก็นะ..." มิยูกิถอนใจเบาๆ หลังจากเว้นช่วงนิดหน่อย แล้วเหยียดริมฝีปาก "ฉันว่านายเป็นอย่างนี้ก็ดีอยู่แล้ว นำทีมด้วยความแข็งแกร่งของนาย สไตล์นายเป็นแบบนั้น"

ความเงียบหลังจากนั้นไม่เหมือนที่เคยรู้สึกมาก่อน-- อากาศรอบตัวเปลี่ยนไปราวกับเบาหวิวขึ้น มิยูกิคลี่ยิ้มแล้วสังเกตสีหน้าแสดงความประหลาดใจของฟุรุยะ เอาอีกแล้ว เบิกตาซะกว้าง จ้องเขายังกับเป็นผู้กู้โลกอย่างนั้นแหละ

ชอบถูกชมจริงๆ นะ หมอนี่ มิยูกินึกขำๆ จับทางง่ายจังน้า

"แต่ถ้าให้พูดตรงๆ นะ" เขาหยอก "ถ้าพวกนายขว้างลูกมาเหมือนกันหมดฉันก็หมดสนุกพอดีสิเนอะ"

"รุ่นพี่มิยูกิ" ฟุรุยะพูดขึ้นช้าๆ ระหว่างที่เขาหัวเราะอยู่คนเดียว "ผมคิดมาพักนึงแล้ว... รุ่นพี่นี่นิสัยแย่น่าดูนะครับ"

ถึงจะถูกว่าอย่างนั้น แต่เขาไม่รู้สึกว่าอีกฝ่ายคัดค้านสิ่งที่เขาพูดเท่าไหร่ มิยูกิฉีกยิ้ม หืม นายเองก็สังเกตคนเป็นพอดูนี่นา พ่อเด็กปีหนึ่ง "อื้อ คนเค้าก็ว่าอย่างนั้นกันบ่อยๆ แหละ"

---------------------------------------------

ฟุรุยะไม่ค่อยเข้าหาคนอื่นเท่าไหร่ แต่ที่รู้ๆ กันคือฟุรุยะเข้าหาเขาบ่อยมาก เน้นว่า มาก

มาคิดดูมิยูกิก็ว่าเขาทำตัวเองส่วนหนึ่งนั่นแหละ

เขาลองทดสอบอีกสองสามครั้งเพื่อให้แน่ใจ เห็นชัดว่าฟุรุยะชอบให้ชม แถมมันง่ายเว่อร์ที่จะบอกว่าเจ้าพิชเชอร์ปีหนึ่งนี่จะมีปฏิกิริยาตอบรับยังไง ที่มันแย่คือหมอนั่นมีความสุขเต็มเปี่ยมเพียงแค่ได้ยินคำชมธรรมดาๆ แบบ 'วันนี้ขว้างลูกได้ดีนะ' หรือไม่ก็ 'คอนโทรลลูกได้ดีขึ้นแล้วนี่' ตอนแรกมิยูกินึกว่าเพราะว่าได้ยินจากเขาที่เป็นแคชเชอร์เลยรู้สึกดีเป็นพิเศษ แต่เขาก็สังเกตว่าพอเพื่อนในทีมบอกว่า 'ขว้างได้เจ๋ง' หลังจบอินนิ่ง ฟุรุยะก็เปล่งออร่าดีใจออกมาฟุ้งทีเดียว

แบบนี้อะไรๆ ก็ง่ายยิ่งขึ้นน่ะสิ มิยูกิแทบอยากจะครวญออกมาด้วยความสงสาร

ที่จริงแล้วเขาไม่ควรจะแหย่เล่นให้มากนัก ฟุรุยะนับถือเขามากกว่าคนอื่นๆ ในทีมอีก ถึงแม้ว่าบางทีหมอนั่นจะทำเป็นเมิน แต่ส่วนใหญ่แล้วก็เชื่อฟังคำแนะนำของเขา บางครั้งเขาเห็นฟุรุยะซ้อมวิ่งตอนค่ำหรือว่าตอนเช้าตรู่ ก็อดไม่ได้ที่จะสังเกตเห็นยาทาเล็บที่เคลือบบนนิ้วมือของอีกฝ่ายสะท้อนแสงวาวๆ ฟุรุยะไม่ควรจะถูกแกล้งเพียงเพราะเขาคิดว่ามันตลกดี

แต่แน่นอนล่ะ มิยูกิทำเรื่องตรงกันข้าม

เขาค่อยๆ ทำทีละเล็กละน้อย เริ่มจากหลังจากซ้อม เขาจะลิสต์รายการที่ฟุรุยะจะต้องไปฝึกเพิ่ม กำลังกายกับเรื่องคอนโทรลบอลเป็นสองอย่างที่เขาพูดซ้ำๆ บ่อยมาก เขาจะแอบมองอีกฝ่าย พอเห็นทำหน้าบูดเมื่อไหร่เขาก็จะถอนใจแล้วพูดว่า 'แต่... นายก็ทำได้ดีขึ้นแล้วนะ' พร้อมรอยยิ้มเอาอกเอาใจนิดๆ หน่อยๆ แค่นั้นบรรยากาศรอบตัวของฟุรุยะก็สว่างไสวแบบเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ฟุรุยะไม่ได้พูดอะไรแต่มันชัดอยู่แล้วว่าคนตรงหน้านี้ดีใจจนเนื้อเต้น เหมือนจะยอมทำอะไรก็ได้ให้ได้ยินคำชมแบบนั้นอีก จากนั้นมิยูกิก็อยากจะรู้ว่าฟุรุยะจะทำตัวยังไงถ้าเขาตบไหล่หรือหัวเพื่อชมว่าทำได้ดีมาก พอลองทำดูก็พบว่าฟุรุยะจ้องเขาซะแบบว่าแววตาเป็นประกายเหมือนมีความสุขจนแทบจะเป็นลม

ที่เขาทำอาจจะเหมือนทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบดั้งเดิมของปัฟลอฟ แต่ฟุรุยะเริ่มมาหาเขาบ่อยขึ้น ไม่ใช่แค่เฉพาะตอนหลังฝึกซ้อมถ้าไม่ได้มีโอกาสขว้างลูกทั้งวัน หมอนั่นยังโผล่มาตอนพักกลางวันด้วย ครั้งแรกที่ฟุรุยะโผล่มาหน้าห้องเรียนทำเอาคนอื่นซุบซิบกันใหญ่ ก็เจ้ารุ่นน้องนี่เริ่มมีชื่อเสียงเพราะว่าขว้างลูกรุนแรงได้ยังกับปิศาจนี่นา แล้วอีกอย่าง ปกตินักเรียนต่างชั้นปีกันจะไม่ค่อยได้มารวมกันอยู่แล้ว ฟุรุยะมาขอให้รับลูกให้ก่อนการฝึกซ้อมช่วงบ่าย และมิยูกิก็ถอนหายใจเพลียๆ เพื่อจะบอกว่านี่ฉันไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อรับลูกของนายอย่างเดียวนะเว้ย แต่สุดท้ายเขาก็ยอมตกลงอยู่ดี แต่ก็ต่อรองว่าแค่ครึ่งชั่วโมงก่อนซ้อมเท่านั้น

อากาศรอบตัวของฟุรุยะเบาลงทันทีเมื่อเขาตอบตกลง เหมือนอย่างที่มิยูกิคาดไว้ เขาพยายามกลั้นขำต่อความไร้เดียงสาของอีกฝ่ายแล้วคงสีหน้าให้เป็นปกติ อย่างน้อยก็จนกระทั่งฟุรุยะกลับไปนั่นแหละ แต่ฟุรุยะยังคงยืนอยู่แถวนั้นราวกับอยากได้อะไรบางอย่าง หนึ่งนาทีที่น่าอึดอัดผ่านไป ฟุรุยะแค่ยืนนิ่งๆ อยู่ตรงนั้นโดยไม่พูดอะไรซักคำ มิยูกิได้แต่เลิกคิ้วด้วยความสงสัย จนเขาฉุกคิดขึ้นมาได้

อ้อ

"ฟุรุยะ" มิยูกิว่าด้วยเสียงทะเล้นๆ แบบกลั้นหัวเราะเต็มที่ "เมื่อเช้านี้นายวิ่งรอบสนามได้ครบรอบแล้วใช่มั้ย เรื่องกำลังของนายน่าจะค่อยๆ ดีขึ้นแล้วล่ะ" พอชมแล้วเขาก็แอบสังเกตว่าอีกฝ่ายทำหน้าตาวิบวับใส่เขามากแค่ไหนถึงแม้เจ้าตัวจะไม่ได้ยิ้ม "อ้ะ" เขาพูดต่อลอยๆ "เอาน้ำอัดลมมาเผื่อฉันก่อนเจอกันอีกรอบได้มะ"

ฟุรุยะพยักหน้าอย่างเชื่อฟังแล้วค้อมหัวเล็กน้อยก่อนจะเดินไป มิยูกิแทบจะกุมขมับกับการที่เห็นว่าเขาควบคุมรุ่นน้องได้ง่ายแค่ไหน เขาควรจะหยุดได้แล้ว แต่ให้ตายเถอะ ฟุรุยะที่เป็นแบบนั้น มันน่าแกล้งน้อยซะที่ไหนล่ะ

เป็นคุราโมจิที่แทรกความคิดของเขาด้วยการค่อนแคะ "...นี่ฝึกหมอนั่นอยู่เรอะ?"

มิยูกิมองเพื่อนร่วมชั้นที่นั่งอยู่ข้างหน้า เขาไม่น่าจะต้องแปลกใจอะไร คุราโมจิเป็นพวกไวกับเรื่องแบบนี้อยู่แล้วถึงจะขัดกับหน้าตาก็เถอะ

"อะไรกัน?" เขาแกล้งพูดเหมือนถูกทำร้ายจิตใจ "พูดอะไรอย่างนั้นกัน นายคิดว่าคนอย่างฉันจะ--"

คุราโมจิไม่เชื่อแม้แต่พยางค์เดียว "ก็เพราะว่าเป็นคนอย่างนายนั่นแหละ ไอ้บ้า อย่าไปทำอย่างนั้นสิวะ"

"ไม่เห็นรู้เรื่องเลย" มิยูกิยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง หากมุมริมฝีปากที่กระตุกขึ้นนิดๆ บอกชัดว่าหมายความว่าอะไร

---------------------------------------------

พอฟุรุยะใช้ยาทาเล็บขวดแรกที่มิยูกิให้ไปหมดแล้ว เจ้าตัวก็มาขอเพิ่ม ที่จริงมิยูกิน่าจะบอกว่าให้ไปซื้อจากร้านเอาเองแต่ยังไงเขาก็มีเหลือไว้อยู่แล้ว เขาก็เลยเรียกฟุรุยะให้มาที่ห้อง เพื่อนร่วมห้องไม่มีใครอยู่ พออยู่กันแค่สองคนก็เลยออกจะเงียบไปซักหน่อย เขาคุ้ยหายาทาเล็บจากในลิ้นชัก ส่วนฟุรุยะก็นั่งคุกเข่ารออยู่บนพื้น พอเขาหาเจอก็ยื่นให้ฟุรุยะ เจ้าตัวรับไปโดยไม่พูดอะไร

"นี่จะไม่ขอบคุณกันหน่อยเหรอ นั่นน่ะฉันเสียตังค์ซื้อมานะ" คนพูดเลิกคิ้วนิดๆ

ฟุรุยะงึมงำว่าขอบคุณแล้วมิยูกิก็ถอนหายใจ เขาไม่รู้ว่าทำไมบางทีฟุรุยะก็ดูเชื่อฟังและถ่อมตัว แต่บางทีก็... นึกแล้วได้แต่ส่ายหัว ฟุรุยะยังนั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่มีท่าทีว่าจะลุกกลับแม้ว่าจะได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ตอนนั้นเองที่มิยูกิเริ่มจะรู้ตัวว่าเขาฝึกฟุรุยะมากเกินไปกับการที่คอยป้อนคำชมให้บ่อยๆ

ความเงียบปกคลุมในห้อง แต่ไม่มากพอที่จะทำให้ฟุรุยะรู้สึกอึดอัด มิยูกิรู้ว่าฟุรุยะจะไม่พูดอะไรออกมาถ้าหากเจ้าตัวไม่มีอะไรจะพูด แล้วก็คงจะไม่ขยับไปไหนจนกว่าจะได้สิ่งที่ต้องการ (ถึงจะไม่รู้ตัวก็เถอะ) ดังนั้นสถานการณ์ตอนนี้จึงขึ้นอยู่กับมิยูกิว่าจะนำไปทางไหน ไม่อย่างนั้นแล้วพวกเขาก็จะนั่งกันอยู่เงียบๆ ต่อไปอีกหลายนาที

"เอามือมาดูซิ" มิยูกิถอนใจ นั่งลงแล้วยื่นมือบอก "ดูแลนิ้วมือดีอยู่รึเปล่า?"

ฟุรุยะยื่นมือขวาให้ มิยูกิดึงมือนั้นเข้าหาตัวเอง เขาสังเกตดูเล็บที่ฉีกจนเลือดออกไปเมื่อคราวก่อน แล้วดูน้ำยาที่เจ้าตัวทาทับลงไป พอดูใกล้ๆ แล้วไอ้หมอนี่มันทาเล็บได้มั่วซั่วน่าดู ก็จริงอยู่ว่าทาเล็บเคลือบไว้แล้วทำให้เล็บดูแข็งแรงกว่าเดิม ไม่มีรอยแตกแล้ว แต่ยาทาเล็บดูไม่สม่ำเสมอ แถมยังมีชั้นที่ทาไว้ไม่เท่ากันอีกต่างหาก เขารู้ทันทีว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น มิยูกิลุกขึ้นแล้วควานหาสำลีกับน้ำยาล้างเล็บมาให้-- ก่อนหน้านี้เขาน่าจะคิดถึงเรื่องนี้ด้วย

"นายไม่ได้ล้างออกก่อนจะทาทับลงไปใหม่ใช่มั้ย" มิยูกิถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว "ต่อไปใช้ไอ้นี่ล้างออกก่อนล่ะ" เขาสอนแล้วยื่นน้ำยาล้างเล็บให้ "ชุบสำลีแล้วก็เช็ดน้ำยาออก ตัดเล็บแล้วค่อยทาเล็บใหม่อีกรอบ เข้าใจปะ" เขารอการพยักหน้ารับรู้อยู่ครู่หนึ่ง "แล้วฝีมือทาเล็บนายห่วยเป็นบ้า ไปขอให้คนอื่นทาให้แล้วกัน"

ฟุรุยะถึงกับห่อเหี่ยว

"แต่" เขาพูดขึ้น แอบลอบมองรุ่นน้อง "นายก็ดูแลมือตัวเองตามที่ฉันบอก ดีมาก"

ฟุรุยะหูตั้งขึ้นมาทีเดียว แววตาระยิบระยับวิบวับด้วยความปลาบปลื้ม แต่แล้วกลับมีสิ่งนอกเหนือการคำนวนของมิยูกิ ฟุรุยะกระพริบตาแว่บหนึ่งแล้วหันมาจ้องมองมิยูกิตรงๆ คราวนี้แตกต่างออกไป แม้จะยังคงมีความยินดีเต็มเปี่ยมอยู่ ทว่าสายตานั้นจ้องตรงมาที่เขา พร้อมกับความรู้สึกผสมปนเปนระหว่างความลังเลกับความประหม่าที่ไม่เคยเห็นจากฟุรุยะมาก่อน

แสงสว่างในห้องบวกกับผิวขาวๆ ของฟุรุยะทำให้เขาเห็นชัดว่าเจ้าตัวกำลังหน้าแดงน้อยๆ มิยูกิเครียดเกร็ง รีบคิดที่จะพูดอะไรซักอย่าง แต่ก็เห็นแค่ฟุรุยะกลืนน้ำลายลงคอ

"รุ่นพี่มิยูกิ... ผมชอบรุ่นพี่ครับ"

---------------------------------------------

ฟุรุยะไม่มาซ้อมวันต่อมา และมิยูกิรู้สึกว่าเขาเป็นคนเตะลูกหมาตัวนั้นเข้าเต็มแรง ไม่สิ เมื่อวานต่างหากที่เขาเตะลูกหมาตัวนั้นเสียเต็มฝ่าเท้าตอนฟุรุยะกลับไปที่ห้อง วันนี้พอฟุรุยะขาดซ้อม เขาเลยรู้สึกเหมือนมีชนักปักหลัง พอซ้อมเสร็จ คุราโมจิก็รี่เข้ามา

"ฟุรุยะไปไหนล่ะ? ต่อให้ป่วยก็เถอะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าหมอนั่นจะยอมพลาดโอกาสที่จะได้ขว้างลูกน้า" เพื่อนปีสองล้อ "นึกว่าจะได้เห็นภาพหมอนั่นฝืนสังขารคลานเข้ามาซ้อมปาลูกซะหน่อย"

มิยูกิเลิกคิ้วขณะที่คนอื่นๆ หันมามองเขาเป็นตาเดียว รอให้เขาตอบ "ทำไมนายมาถามฉันยังกะฉันเป็นผู้ปกครองหมอนั่นล่ะ"

"แล้วไม่ใช่เรอะ?" คุราโมจิหยอก "หมอนั่นตัวติดกับนายยังกับเป็นตังเม รุ่นพี่มิยูกิคร้าบ"

มิยูกิกลอกตา แล้วยักไหล่ "ฉันไม่รู้หรอกว่าหมอนั่นอยู่ไหน ซาวามุระ นายรู้รึเปล่า?"

"ผมจะไปรู้ได้ไงล่ะ" พิชเชอร์อีกคนย้อน

"ไม่ใช่เพื่อนร่วมชั้นกันหรอกเรอะ?"

"ฟุรุยะคุงอาจจะเป็นหวัดก็ได้นะครับ ผมจะแวะดูที่ห้องให้แล้วกัน" โคมินาโตะคนน้องเสนอขึ้น

รุ่นพี่ปีสามที่เหลือพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะพากันเดินไปสนามซ้อมหลัก โค้ชคาทาโอกะเรียกไปคุยรายละเอียดหลังซ้อมอย่างเคย มิยูกิเดินตามกลุ่มรุ่นพี่โดยระมัดระวังสีหน้าของตัวเอง แต่ทุกๆ ก้าวที่เดินไปก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกผิด เพราะเขารู้ชัดว่าทำไมฟุรุยะถึงได้โดดซ้อม

ก็เขาน่ะไม่ได้... คาดว่าฟุรุยะจะหลงเขาเข้าจริงๆ ถึงขั้นชอบ

ถึงขั้นรัก

พอชมแล้วกระตุ้นออร่าดีๆ จากตัวฟุรุยะได้มันน่าตลกจะตาย ความแตกต่างที่คนนิ่งๆ แบบนั้นแสดงออกเพราะหยอกให้ดีใจได้ง่ายๆ แบบนั้นน่ะ แล้วมันก็ง่ายด้วยเวลาจะขอให้ฟุรุยะทำอะไรให้ คล้ายๆ กับมีทาสรองมือรองเท้าดีๆ ซักคน ไม่ใช่ว่าเขาจะหลอกให้ฟุรุยะทำอะไรแย่ๆ หรอกนะ เขาไม่ทำอย่างนั้นหรอก แต่การเพลิดเพลินไปกับการมีอำนาจเหนือใครบางคนโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวนี่มัน... มิยูกิรู้สึกว่านั่นเป็นความคิดที่ผิดปกติ แต่เขาก็เริ่มจะคิดว่าตัวเองเป็นอย่างนั้นทีละน้อย

ทั้งอย่างนั้น เขาก็ไม่คิดซักนิดว่ามันจะกลายเป็นความรักชอบแบบนั้นไปได้ ดังนั้นการไปทำลายความรู้สึกที่บ่มเพาะขึ้นมาด้วยการกระทำของตัวเอง--นั่นแหละอาจจะล้ำเส้นไปหน่อย

ที่ร้ายกว่านั้นคืออีกฝ่ายเป็นฟุรุยะ คนที่เข้าสังคมไม่เก่งและอาจจะไม่เคยมีแฟน--ไม่มีแม้แต่เพื่อน มิยูกิสะดุ้งน้อยๆ เมื่อเขานึกย้อนไปว่าตอนนั้นเขาได้แต่ลูบคอตัวเองแล้วตอบกลับไปง่ายๆ

"เอ้อ ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้นกับนาย"

บางทีตอนนั้น ถ้าให้พูดตามตรง เขาก็ตกใจจริงๆ นั่นแหละ ความทรงจำไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ตอนที่เขาฉุกคิดขึ้นว่า บ้าชะมัด ไม่น่าทำแบบนั้นลงไปเลย แต่เขาก็จำได้ว่าตัวเองพูดแบบนี้

"นี่จะมีผลกระทบต่อการขว้างลูกของนายมั้ยน่ะ?"

เขาไม่ได้ตั้งใจจะให้มันฟังดูแห้งแล้งเหมือนอย่างที่พูดออกไป แต่ก็ทำร้ายอีกฝ่ายลงไปแล้ว ความเจ็บปวดและความอับอายฉายวาบขึ้นมาในดวงตาของฟุรุยะแว่บหนึ่ง รุ่นน้องลุกพรวดขึ้นแล้วก้มหัวให้

"ขอโทษที่รบกวนครับ รุ่นพี่มิยูกิ" ฟุรุยะเอ่ยเบาๆ ก่อนปลีกตัวออกไป

มิยูกิไม่ได้ตามอีกฝ่ายไป เขาคิดว่าน่าจะดีกว่า ให้ฟุรุยะจัดการตัวเองให้เร็วที่สุด ส่วนตัวเองก็นอนแผ่ลงกับพื้นแล้วส่งเสียงขัดใจในลำคอ ขวดยาทาเล็บ ขวดยาล้างเล็บ แล้วก็กองสำลีวางทิ้งอยู่ข้างตัว อื้อหือ เขาไม่นึกเลยว่าฝ่ายนั้นจะเสียศูนย์ได้มากขนาดนี้

---------------------------------------------

(ต่อด้านล่างค่ะ)

daiyanoa

Previous post Next post
Up