紅葉の響 เสียงสะท้อนของฤดูใบไม้ร่วง (16)

Aug 26, 2015 19:25



Fandom: Daiya no A (Ace of Diamond) / AU / Crossover with Haikyuu!!
Pairing: Furuya Satoru x Miyuki Kazuya

เจ้าสำนักไม่พูดอะไรกับเขาแม้สักคำ

หลังมื้ออาหารอันอึกทึกนั้น เจ้าสำนักก็เรียกบุตรชายไปพูดคุยตามลำพัง วานให้คริสดูแลสตรีผู้มาเยือนทั้ง 2 หากมิได้สั่งความอันใดกับเขา

นายน้อยจะทำให้เจ้าสำนักเข้าใจได้หรือ เขานึกกังขานัก



คาซึยะกลับมาที่เรือนทิศใต้เพียงคนเดียว จากเหตุการณ์เมื่อครู่จะให้เขาเสนอหน้าไปอยู่กับทาคาชิมะและฮารุโนะอีกก็กระดากเกินทน เรือนพักยามบ่ายไร้ผู้คนดูเงียบเหงาเป็นพิเศษ พออยู่คนเดียวเขาก็เอาแต่คิดถึงซาโตรุอีก...

นายน้อยจะถูกบิดาต่อว่าหนักหนาเพียงใดกันหนอ ซาโตรุเป็นคนดื้อรั้น แต่หากปะทะโทสะกับบิดาเข้าจริงๆ ก็ยากจะเดาว่าใครจะเป็นฝ่ายอ่อนข้อก่อน ความสัมพันธ์พ่อลูกต้องมาระหองระแหงเพราะเหตุนี้ คาซึยะรู้สึกผิดบาปนัก

เชื่อฟังคำของบิดาเถิดซาโตรุ แต่งงานกับท่านฮารุโนะเสีย คาซึยะภาวนาเช่นนั้นในใจแต่ในอกกลับรู้สึกเจ็บแปลบ... นี่ไม่ใช่อาการของโรคหอบหืด ความปวดร้าวนี้มาจากความคิดอันขัดแย้งของตนเอง สมควรแล้วไม่ใช่หรือที่ซาโตรุจะมีครอบครัว แล้วทำไมจิตใจจึงกรีดร้องไร้สุ้มเสียงอย่างทรมานเช่นนี้กันเล่า

เขานั่งเหม่ออยู่ที่นอกชาน ฟังเสียงแกรกกรากของใบไม้แห้งที่เริ่มร่วงหลุดจากกิ่ง ชาสมุนไพรที่ชงมาดื่มยามบ่ายพร่องไปจนหมดกา ที่สุดแล้วเขาก็ไร้พลังที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดๆ

คาซึยะผล็อยหลับไปอย่างไม่รู้ตัว สัมผัสอุ่นที่ข้างแก้มปลุกเขาให้ตื่นจากอาการสะลึมสะลือพร้อมเสียงนุ่มนวลอันคุ้นเคยที่กระซิบข้างใบหู

“มาหลับอยู่ที่แบบนี้ เดี๋ยวก็ไม่สบายอีกหรอก คาซึยะ”

ซาโตรุ...?

นี่... คือความฝันหรอกหรือ?

“นายน้อย?”

รอยยิ้มเบาบางปรากฎให้เห็นในสายตา ราวกับนานเหลือเกินที่ไม่ได้เห็นใบหน้ายามยินดีนั้น เขากำลังนอนตักอีกฝ่ายอยู่ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แสงแดดที่แยงผ่านยอดไม้บอกให้รู้ว่ายังไม่พลบค่ำ

ทั้งที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพังไปพักใหญ่ น่าแปลกที่เมื่ออยู่ท่ามกลางสายตาคนอื่นหรือแม้แต่ตอนที่เฝ้าคิดถึงฝ่ายตรงข้ามอยู่เพียงคนเดียวหัวใจนั้นเต้นเร่าอย่างไม่อาจสงบลงได้ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกเบาใจนัก

“ท่านพ่อ... ไม่ฟังข้าเลย” นายน้อยเอ่ยปรับทุกข์ แม้น้ำเสียงจะแฝงความกังวล แต่รอยยิ้มบนใบหน้ายังไม่จางหายไป ส่วนเขาได้แต่นิ่งฟัง “ยืนกรานให้ข้าแต่งงาน บอกว่าเป็นหน้าที่ของทายาทสำนัก ให้รับเด็กสาวคนนั้นเป็นภรรยาไม่ว่าข้าจะรู้สึกอย่างไร ทำแบบนั้น... น่าสงสารนาง คาซึยะคิดเหมือนข้าไหม”

คนถูกถามกลืนน้ำลายฝืดเฝื่อนลงคอ ถูกบังคับคลุมถุงชนก็น่าสงสารทั้งสองฝ่ายอยู่แล้ว ทว่าครั้นจะให้เห็นด้วยไปกับซาโตรุ ก็จะกลายเป็นขุดหลุมฝังตัวเอง

ต้นเหตุความวุ่นวายนี้ ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย

คาซึยะลุกขึ้นนั่ง เอ่ยตอบเรียบๆ พยายามซุกซ่อนความในใจที่แท้จริงไว้อย่างเต็มที่ ก่อนหน้านี้เขาทำได้อย่างแนบเนียน นายน้อยไม่เคยจับได้สักครั้ง คราวนี้ก็ย่อมต้องไม่ต่างจากที่ผ่านมา

“ท่านฮารุโนะไม่มีความผิดอันใด นายน้อยโปรดทะนุถนอมนางเถิดขอรับ เจ้าสำนักเห็นแก่อนาคตของท่าน อย่าได้หุนหันไปเลย นางน่ารักน่าเอ็นดูนัก ทำความรู้จักกันไปก่อนก็ได้นี่ขอรับ”

“ถ้าข้าทำเช่นนั้น เจ้าจะมีความสุขหรือ” ฝ่ายตรงข้ามย้อนถามด้วยคำถามเกินคาดหมาย คาซึยะชะงักขณะมองสีหน้าราบเรียบไม่หวั่นไหวของคนพูด เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสั่นๆ อย่างไม่ได้ตั้งใจ

“นะ.. แน่... นอนสิขอรับ นายน้อยจะแต่งงาน... เป็นฝั่งเป็นฝา...”

เอ๊ะ...

ไม่อาจเปล่งคำพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคงได้ คาซึยะยิ้มค้าง พลันรู้สึกถึงน้ำตาอุ่นๆ ที่ไหลอาบแก้ม เมื่อรู้ตัวจึงรีบปาดออกลวกๆ แต่น้ำตาเจ้ากรรมกลับไหลไม่หยุด

“อะ... เอ๋... ขะ... ขออภัยขอรับนายน้อย... สงสัยจะแพ้อากาศ... ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ” เอ่ยแก้ตัวข้างๆ คูๆ แล้วหันหน้าหนี หัวใจเจ็บหนึบ “กระผม... ขอตัวก่อนดีกว่า-” บอกแล้วลุกพรวดขึ้น ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไปแล้ว ต่อมน้ำตาแตกต่อหน้านายน้อยเสียได้

ทั้งที่ทำใจไว้แล้วว่าวันหนึ่งซาโตรุต้องแต่งงานมีครอบครัว นั่นเป็นเรื่องที่เหมาะสม ที่ผ่านมาเขาระลึกเรื่องนี้ไว้เสมอ ถึงได้กระอักกระอ่วนใจกับความสัมพันธ์เกินเลยที่เกิดขึ้นมา หากดูท่าหัวใจที่อ่อนแอจะทรยศต่อความตั้งมั่นนั้นเสียแล้ว

ถ้าอยู่ต่อหน้านายน้อยต่อไป ต้องแย่แน่ๆ

ข้อมือถูกคว้าหมับก่อนจะได้ก้าวหนี พร้อมเสียงเรียกชื่อที่กระทบหูแล้วบีบหน้าอกนัก

“คาซึยะ...” ความเงียบน่าอึดอัดแทรกระหว่างกลาง หากเขาก็ไม่ขยับตัว “เจ้าร้องไห้ทำไม”

“อึก...”

“คาซึยะ”

บ้าจริง อย่าเรียกอย่างนั้น

เจ้าของชื่อขบริมฝีปาก ไม่ตอบคำ

“...ไม่อยากให้ข้าแต่งงานหรือ?”

คาซึยะส่ายหน้าเป็นคำตอบ

“แล้วเจ้าร้องไห้ทำไม”

ไม่รู้ว่าซาโตรุรู้ใจจริงของเขาหรือไม่ แต่ฟังจากน้ำเสียงที่ถามอย่างไม่แน่ใจนั้น น่าจะไม่รู้...

ทว่า...

วงแขนแกร่งคว้าร่างของเขาเข้าไปกอด ฝ่ามืออุ่นโอบหัวไหล่ อีกฝ่ายซบใบหน้าลงบนไหล่ข้างขวา เอ่ยวิงวอนด้วยน้ำเสียงออดอ้อนให้เห็นใจ

“พูดความจริงกับข้าได้ไหม คาซึยะ เจ้าทำแบบนี้... ข้าทำอะไรไม่ถูก ข้าหัวทึบ ไม่ฉลาดเฉลียวเหมือนอย่างเจ้า บอกความจริงกับข้าตรงๆ ได้ไหม อย่าหลอกข้าอีกเลย”

คนฟังกลืนน้ำลายฝืดลงคอ ซาโตรุระแคะระคายอยู่ไม่น้อย แต่คงไม่แน่ใจหากไม่ได้ยินจากปากของเขาเอง

“ข้าไม่อยาก... ทำร้ายเจ้า ไม่อยากเห็นเจ้าทรมานอีกต่อไปแล้ว ถ้าความสุขที่แท้จริงของเจ้าคือให้ข้าแต่งงานกับเด็กสาวคนนั้น ข้าก็จะยอมทำตามที่เจ้าต้องการ”

ความขัดแย้งในใจก่อตัวขึ้นมากทุกที คำพูดของเขาเพียงคำเดียวจะสามารถดึงนายน้อยให้เดินทางถูกได้ ทว่าร่างกายไม่ยอมขยับ คาซึยะฝืนความอึดอัดสุดความสามารถ ก่อนจะเปล่งคำพูดออกไปช้าๆ

“เป็น... เช่นนั้นขอรับ ถ้าหากนายน้อยแต่งงานมีครอบครัวได้ เจ้าสำนักคงสบายใจ กระผมเอง...ก็หมดห่วง”

เขาแทบไม่ได้ยินว่าตัวเองพูดว่าอะไรออกไป หูอื้อจนเสียงรอบข้างดับหายไป

“จริงหรือ?”

“....จริง... ขอรับ”

“...ถ้าเช่นนั้น เหตุใดเจ้าจึงทำสีหน้าเช่นนี้กับเล่า” นิ้วมือยาวแตะสัมผัสผิวแก้ม ประคองให้หันมาเผชิญหน้า ทันทีที่สบนัยน์ตาดำขลับ น้ำตาอุ่นก็รื้นขึ้นมาเต็มเบ้า

“น้ำตา... ไหลอีกแล้ว”

ดวงตาใต้กรอบแว่นไหวระริก คาซึยะหมดสิ้นหนทางจะปิดบัง ทั้งยังโดนกอดไว้ในอ้อมแขนจนขยับตัวไปไหนไม่ได้

“โกหกข้าอยู่เรื่อย พูดถึงเรื่องแต่งงานแล้วเจ้าก็ร้องไห้แบบนี้ ถ้าข้าแต่งงานไปจริงๆ เจ้าจะมีความสุขได้อย่างไรกัน นี่ คาซึยะ ไม่ได้รักข้าจริงหรือ? ที่เจ้าปิดบังเรื่องหอบหืดจน... ยั่วเย้าให้ข้าย่ำยีแบบนั้นเพราะรังเกียจข้าจนต้องหนีไปในที่ที่ข้าตามไปไม่ได้อย่างนั้นหรือไร เจ้าปรารถนาสิ่งใดกันแน่”

อา... เพราะสิ่งที่ปรารถนานั้นไกลเกินจะเอื้อมคว้า ทั้งยังทรยศความเชื่อใจของเจ้าสำนักผู้มีพระคุณ จะพูดออกไปได้อย่างไรกัน

แต่... หากนายน้อยตบแต่งหญิงสาวผู้นั้นเป็นภรรยา นายน้อยจะกล้ำกลืนฝืนทนเพียงใด ทั้งสองคนจะเป็นคู่ครองที่น่าเวทนายิ่ง หรือตรงกันข้าม หากนายน้อยเรียนรู้ที่จะรักสาวน้อยผู้นั้นได้ ก็คงจะทะนุถนอมนางเป็นอย่างดี เพียงแค่คิดความเป็นไปได้นั้นก็กลับรู้สึกบาดใจ

คาซึยะก่นด่าสันดานชั่วร้ายของตน เขานึกหวงแหน ครอบครองซาโตรุเอาไว้เป็นของตนเองเพียงผู้เดียวมาแสนนานเหลือเกิน

เขามองแววตาอ้อนวอนตรงหน้าแล้วพลันใจอ่อน ซาโตรุราวกับจะร้องไห้ไปด้วยอยู่รอมร่อ แต่วินาทีต่อมาก็เตือนตัวเองอีกครา

จะทรยศเจ้าสำนักไม่ได้เป็นอันขาด...

ตั้งเขาเสียมารดาซึ่งเป็นผู้เกี่ยวดองทางสายเลือดคนสุดท้ายเพียงคนเดียวไป ก็ได้เจ้าสำนักชุบเลี้ยงมาประหนึ่งเป็นลูกในไส้ ความคาดหวังต่อนายน้อยซึ่งเป็นทายาทของสำนักมากมายเพียงใดเขารู้ดี หน้าที่ของเขาคือสนับสนุนความตั้งใจของเจ้าสำนัก คงชื่อสำนักเซย์โดไว้ไม่ให้น้อยหน้าใคร ด้วยฝีมือของซาโตรุแล้ว หากได้เป็นผู้สืบทอดย่อมต้องสร้างชื่อให้สำนักได้อย่างแน่นอน

เขาไม่อาจ... ทำลายความตั้งใจของเจ้าสำนักได้

แต่ว่า... แต่ว่า...

อ้อมกอดของซาโตรุในตอนนี้นั้นช่างอบอุ่นเหลือเกิน จะดีเพียงใดหากซาโตรุเป็นเพียงซาโตรุ ไม่ต้องรับภาระหน้าที่ทายาทสำนักอันยิ่งใหญ่นี้

“นายน้อย... ปล่อยเถิดขอรับ” คาซึยะอับจนคำพูด รั้งตัวออกห่าง

“เจ้ายังไม่ตอบคำถามข้าเลย”

เขาได้แต่ยิ้มอ่อนเมื่อถูกตื๊อเอาคำตอบ หากตอบไปตามความจริงซาโตรุจะยิ่งมีเหตุให้ดื้อรั้นกับบิดาหนักกว่าเก่า แต่สภาพของเขาในตอนนี้ไม่อาจปั้นคำโกหกได้แนบเนียน ไม่สิ... ไม่อาจเอ่ยคำเท็จออกไปได้ด้วยซ้ำ การต้องโป้ปดต่อหน้านายน้อยเป็นเรื่องทรมานเกินทน

ดังนั้นจึงไม่สามารถเปล่งวาจาใดๆ ออกไปได้ คาซึยะคลี่ยิ้มเบาบางอันแสนเศร้าสร้อยอยู่อย่างนั้น

ซาโตรุเองก็หมดหนทางจะคาดคั้น แววตาผิดหวังและดูสับสน น่าสงสารเสียจนอยากปลอบ

จากนี้ไปพวกเขาจะทำอย่างไรดี ถ้าปล่อยไปตามยถากรรม ถ้าไม่แตกหักกับบิดา ซาโตรุก็คงต้องจำยอมแต่งงานทั้งที่หัวใจตรอมตรมไม่ต่างจากตน คาซึยะคิดอะไรไม่ออก หัวสมองว่างเปล่าไปหมด

นายน้อยยกฝ่ามือประคองพวงแก้ม ในเมื่อคำพูดไม่เป็นผล เจ้าตัวจึงใช้การกระทำทดแทน ไม่ใช่สิ่งอันเหมาะอันควร คาซึยะเองก็รู้ แต่เขาไม่อาจแสร้งทำใจร้ายสะบัดตัวหนีไปได้

ริมฝีปากอุ่นทาบทับกันและกันแผ่วเบาราวสัมผัสของกลีบดอกไม้ เพียงชั่วครู่ก็ละออก

“ข้าทำเช่นนี้ เจ้ารังเกียจหรือ?”

คาซึยะอับจนด้วยคำพูด ส่ายศีรษะช้าๆ ดวงหน้าคนถามสดใสขึ้นมาฉับพลัน

“ถ้าเช่นนั้น คาซึยะก็รักข้าใช่ไหม”

เขาเงียบ หลบตาคนถาม ความเงียบอันน่าอึดอัดผ่านไปพักใหญ่ อีกฝ่ายก็เร่งเร้า

“คาซึยะ”

สุดท้ายเขาก็ผงกศีรษะเล็กน้อย ตอบงึมงำในลำคอ “รัก... ขอรับ แต่...”

“รักทายาทของสำนักเซย์โด หรือว่ารัก ‘ซาโตรุ’ ”

คราวนี้คาซึยะเบิกตากว้าง จ้องหน้าฝ่ายตรงข้ามด้วยแววตาหวั่นไหว ซาโตรุจ้องตอบ นัยน์ตาสีดำสนิทหนักแน่นแน่วแน่ ราวมองทะลุได้ถึงความจริงในใจของเขา

นายน้อย... รู้?

ไม่สิ... ไม่หรอก... นายน้อยจะรู้ได้อย่างไร เขาปิดบังความรักนี้ในคราบพี่ชายและคนสนิทมานานแสนนาน แม้ตอนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันเขาก็ปกปิดได้แนบสนิทว่าเป็นเรื่องทางกายเท่านั้น เขายกเรื่องทายาทสำนักขึ้นมาอ้างก่อนเสมอ ใช่แล้ว ข้ออ้างอันแสนสะดวกสบายของเขาที่จะไม่ให้ซาโตรุล่วงรู้ถึงความจริงที่ซุกซ่อนไว้ลึกสุดใจ

อยากพูดจาทะเล้นหยอกเย้าบรรเทาบรรยากาศน่าอึดอัด ทว่าลำคอตีบตันไปหมด เพียงแค่จะอ้าปากก็บังคับให้เสียงออกมาได้ยากเย็นยิ่ง

“กระผม...” คาซึยะเอ่ยเบาๆ “ไม่ควรสร้างความลำบากใจให้เจ้าสำนักขอรับ... แค่นี้... แค่เผลอไผลมีสัมพันธ์กับนายน้อยก็มากเกินอภัย” ปลายนิ้วจับชายยูกาตะสีเข้มของคนตรงหน้าแน่น หัวใจเจ็บหนึบ “ดังนั้น ขอร้องล่ะขอรับ อย่าทำให้เจ้าสำนักต้องผิดหวังเลย”

จบคำเขาก็ปล่อยมือ คิดว่าซาโตรุเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วเขาจึงหันหลังกลับเข้าเรือน “นายน้อยก็กลับเรือนใหญ่เถิดขอรับ”

นายน้อยยืนนิ่งไม่ขยับ สีหน้าเรียบเฉย อ่านไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ หรืออาจเป็นเพราะเขาไม่เยือกเย็นมากพอจะคาดเดาสถานการณ์ได้ แต่ที่แน่ชัดคือนายน้อยไม่มีท่าทีจะกลับอย่างที่เขาเอ่ยบอก คาซึยะพยายามหักห้ามใจ เลื่อนประตูปิดลงทั้งที่อีกฝ่ายยังอยู่ตรงชานระเบียง

ในวินาทีที่บานประตูกำลังเลื่อนปิดสนิท นิ้วมือยาวก็แทรกขวาง กั้นไม่ให้ประตูปิด คาซึยะผงะถอยหลังเล็กน้อย ฝ่ายนั้นก้าวเข้ามาในห้อง สีหน้าไร้อารมณ์อย่างเคย ไม่พูดไม่จา

ไม่ว่าซาโตรุคิดจะทำอะไร คาดคั้นไปก็คงไร้ประโยชน์ คาซึยะคิดอย่างปลงตก เขาเคยถูกทรมานทั้งร่างกายและจิตใจด้วยน้ำมือของนายน้อยมาแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็โกรธไม่ลง มีเพียงความเศร้าขมขื่นที่สุมในอกเท่านั้น

ครั้งนี้... ถ้าถูกทำรุนแรงอีก... ก็ช่างเถิด

เขายืนนิ่งงันให้อีกฝ่ายได้ทำตามใจ หากซาโตรุเพียงแต่ยกมือแตะข้างแก้มเบาๆ ก่อนจะรวบตัวเข้าไปกอดแนบอก

“เจ้าช่างดื้อเหลือเกิน ทำไมต้องอดทนอยู่คนเดียวเล่า”

ซาโตรุว่า แฝงความขุ่นเคืองเล็กๆ อยู่ในน้ำเสียง

つづく

daiyanoa

Previous post Next post
Up